ศิลปะการแสดงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ
ของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างเป็นระบบระเบียบเพื่อให้เกิดความงดงามในการเคลื่อนไหว
เป็นศิลปะที่เกิดจากการสร้างความสมดุลของร่างกายในขณะเคลื่อนไหวให้มีความงาม
ประณีต โดยมีจุดประสงค์ให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจในความงามของการเคลื่อนไหวนั้น
ศิลปะการแสดงในความหมายของไทย คือ “นาฏศิลป์”
เกิดจากการสมาสคำสองคำคือ นาฏะ กับ ศิลปะ
“นาฏะ” หมายถึงการร่ายรำ
หรือการเคลื่อนไหวไปมาอย่างงดงาม ประณีต ละเอียดอ่อน
“ศิลปะ” หมายถึง
๑. การแสดงออกเพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์ของผู้สร้างงานให้ผู้ชมได้รับรู้และเข้าใจในงานที่ตนเองสร้าง
๒. การถ่ายทอดความหมายต่าง
ๆ
ออกมาในรูปแบบงานที่สร้างสรรค์โดยผู้สร้างงานใช้จินตนาการเพื่อแสดงให้เห็นคุณค่าแห่งความงามในรูปแบบต่าง
ๆ
๓. การที่ศิลปินพบเห็นความงาม
เกิดความประทับใจ ชื่นชม จึงเลียนแบบนำมาดัดแปลงประดิษฐ์ให้มีความละเอียดอ่อน
วิจิตรบรรจง ทำให้ผูชมเกิดความซาบซึ้ง ประทับใจในชิ้นงานที่สร้างขึ้นมา
นาฏศิลป์ จึงหมายถึง การฟ้อนรำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นจากท่าทาง
และอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์มุ่งเน้นให้เกิดความประณีตงดงามลึกซึ้ง เพียบพร้อมไปด้วยความวิจิตรบรรจง ละเอียดอ่อน ทั้งนี้นอกจากหมายถึงศิลปะการฟ้อนรำ ระบำ รำ
เต้น แล้ว ยังหมายถึงการนำเอาการขับร้องและการบรรเลงร่วมด้วย
รำคู่ฉุยฉายกิ่งไม้เงินทองเดิมใช้เป็นการแสดงเบิกโรงโขน และละครใน |
มูลเหตุการณ์เกิดนาฏศิลป์/ศิลปะการแสดง
นาฏศิลป์ เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำ
เป็นรูปแบบของงานศิลปะสาขาหนึ่งในประเภทวิจิตรศิลป์
มูลเหตุของการเกิดงานศิลปะประเภทนี้จึงเกิดจากมูลเหตุเดียวกัน
เพียงแต่การนำเสนองานศิลปะอาจมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดงานศิลปะสาขาต่าง ๆ
ขึ้น โดยเฉพาะในประเภทวิจิตรศิลป์
จัดเป็นงานศิลปะที่มุ่งเน้นประโยชน์ทางด้านจิตใจของผู้สัมผัสงานเป็นสำคัญ
ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงมูลเหตุของการเกิดนาฏศิลป์หรือศิลปะการแสดงจึงสันนิษฐานว่ามีมูลเหตุที่เกิด
คือ
๑. เกิดจากธรรมชาติ มนุษย์มีการเคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆ เช่น แขน ขา เอว ใบหน้า ฯลฯ จากการเคลื่อนไหวนี้เองที่เป็นมูลฐานแห่งการฟ้อนรำ หรือการที่มนุษย์แสดงอารมณ์ออกมาตามความรู้สึกในใจแล้วแสดงออกให้เป็นท่าทางกิริยาอาการต่าง ๆ เช่น โกรธ รัก โศกเศร้า เสียใจ มนุษย์ได้นำมาดัดแปลงให้มีความงดงามเป็นท่าทางการร่ายรำ
ท่ายืนของทศกัณฐ์ที่ประดิษฐ์ดัดแปลงมาจากท่ายืนธรรมชาติของมนุษย์ ให้มีความงดงามตามแบบศิลปะการแสดง
๒. เกิดจากการบวงสรวงเทพเจ้า แต่โบราณมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต่างหาสิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เทพเจ้า หรือพระผู้เป็นเจ้าจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างเกิดจากการสมมติเช่น ญี่ปุ่นนับถือพระอาทิตย์เป็นการบูชาความสำคัญของดวงอาทิตย์ที่ให้ความร้อน และแสงสว่าง อินเดียบูชารูปเคารพซึ่งแต่งตั้งเป็นเทพเจ้าต่าง ๆ ไทยเชื่อถือภูตผี เทพารักษ์ เจ้าป่า เจ้าเขา รูปเคารพต่าง ๆ เป็นต้น จากกนั้นก็มีการบวงสรวงบูชาด้วยอาหาร ด้วยการร่ายรำ กระโดดโลดเต้นตามจังหวะ เกิดเป็นแบบแผนวัฒนธรรมการแสดงของแต่ละชาติจนถึงปัจจุบัน
๒. เกิดจากการบวงสรวงเทพเจ้า แต่โบราณมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต่างหาสิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เทพเจ้า หรือพระผู้เป็นเจ้าจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างเกิดจากการสมมติเช่น ญี่ปุ่นนับถือพระอาทิตย์เป็นการบูชาความสำคัญของดวงอาทิตย์ที่ให้ความร้อน และแสงสว่าง อินเดียบูชารูปเคารพซึ่งแต่งตั้งเป็นเทพเจ้าต่าง ๆ ไทยเชื่อถือภูตผี เทพารักษ์ เจ้าป่า เจ้าเขา รูปเคารพต่าง ๆ เป็นต้น จากกนั้นก็มีการบวงสรวงบูชาด้วยอาหาร ด้วยการร่ายรำ กระโดดโลดเต้นตามจังหวะ เกิดเป็นแบบแผนวัฒนธรรมการแสดงของแต่ละชาติจนถึงปัจจุบัน
ในสมัยโบราณการเต้น หรือการฟ้อนรำเป็นสิ่งที่ขาดไมได้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ต่อมาจึงมีการพัฒนานำมาเล่นเพื่อความผ่อนคลายสนุกสนานจากการทำงาน และมีพัฒนาการตลอดเวลาจึงทำให้กลายเป็นศิลปะการแสดงได้
๓. เกิดจากอารมณ์สะเทือนใจของมนุษย์ อารมณ์สะเทือนใจหมายถึงความรู้สึกชื่นชมประทับใจ ซาบซึ้งในเรื่องราว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม พฤติกรรมมนุษย์ในสังคม หรือไปพบเห็นสิ่งต่างเกิดความ ชื่นชมประทับใจ จึงนำมาสร้างสรรค์ให้เป็นการเคลื่อนไหว เรื่องราว โดยผสมผสานจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ทำให้เรื่องราว หรือการเคลื่อนไหวนั้นน่าสนใจ ประทับใจผู้ชม
ภาพยนตร์เรื่องโหมโรง เป็นภาพยนตร์ที่นำเอาเรื่องราวของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มาสร้างสรรค์ เป็นตัวอย่างของศิลปะการแสดงที่เกิดจากความประทับใจในเรื่องราวและผลงานทางดนตรีไทยของปรมาจารย์ทางดนตรีไทยท่านนี้
อ่านต่อศิลปะการแสดง ๒
ครูสอนลึก อธิบายแน่น !
ตอบลบ